ปลอดภัยไว้ก่อน! 5 วิธีเช็กรถยนต์เบื้องต้นด้วยตัวเอง ก่อนเดินทางไกล

หากคุณต้องเดินทางไกล และต้องขับรถด้วยตัวเอง เพื่อความปลอดภัยและความราบรื่นในการเดินทาง คุณสามารถทำการตรวจสภาพรถยนต์เบื้องต้นด้วยตัวเองเพื่อตรวจสภาพรถยนต์ให้แน่ใจว่ารถของคุณพร้อมใช้งานก่อนออกเดินทางไกล ไม่ต้องมากังวลกับปัญหารถเสียระหว่างทาง วันนี้เรามีวิธีตรวจเช็กรถก่อนออกเดินทางไกลมาฝาก

1. เช็กแบตเตอรี่และทำความสะอาดขั้วต่อและขั้วแบตเตอรี่

เนื่องจากแบตเตอรี่ถือเป็นหัวใจสำคัญเรื่องกำลังไฟในการใช้งานรถยนต์ ซึ่งบางคนก็อาจไม่ค่อยสนใจมันเท่าไรนัก จะมาสนใจจริงๆ จังๆ ก็ต่อเมื่อรถสตาร์ทไม่ติด หรือแบตเตอรี่เริ่มมีปัญหา และปัญหาส่วนมากเกี่ยวกับแบตเตอรี่มีอยู่มากมาย เช่น การเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน น้ำกลั่นไม่ได้เติม น้ำกลั่นแห้ง ฯลฯ แต่บางครั้งเราอาจละเลยปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ไป คิดเอาเองว่ามันพัง ใช้งานไม่ได้แล้ว ทั้งๆ ที่บางทีมันอาจยังใช้งานได้อยู่ก็เป็นได้ ซึ่งปัญหาที่กล่าวมาก็คือ ขั้วแบตเตอรี่ เพราะในบางครั้งขั้วแบตอาจมีคราบสกปรก เราจึงต้องหมั่นตรวจเช็กและทำความสะอาดขั่วแบตก่อนออกเดินทาง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าแบตของท่านจะไม่ก่อปัญหาระหว่างการเดินทางไกล

 

ซึ่งวิธีการตรวจเช็กแบตเตอรี่เบื้องต้นเราสามารถทำเองได้ง่ายๆ เพียงแค่สังเกตมองดูบริเวณขั้วแบตเตอรี่รถยนต์ว่ามีสิ่งสกปรก คราบขี้เกลือสีขาวและคราบผงแป้งสีฟ้าบนขั้วแบตเตอรี่หรือไม่

 

หากพบเห็นคราบสกปรกดังกล่าวคุณสามารถขจัดคราบเหล่านี้ได้ด้วยการถอดขั้วแบตเตอรี่ออก โดยเริ่มจากสายไฟขั้วลบก่อน และทำความสะอาดทั้งขั้วต่อและขั้วแบตเตอรี่ โดยการใช้แปรงสีฟันที่ไม่ใช้แล้วนำมาถู หรือขัด ทำความสะอาด เพื่อให้คราบ หรือผงสีฟ้าหายออกไปให้หมด และระหว่างขัดให้ใช้น้ำร้อน หรือโซดาคอยราดลงไปด้วย หลังจากนั้นก็ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดคราบต่าง ๆ ออกให้สะอาด และก่อนที่จะใส่อุปกรณ์ต่างๆ กลับไปที่เดิม เราจะต้องใช้ผ้าแห้งเช็ดขั้วต่อและขั้วแบตเตอรี่ให้หายชื้นเสียก่อน หลังจากนั้นคุณก็สามารถประกอบกลับตามเดิมและขันขั้วต่อแบตเตอรี่ให้แน่น

2. เช็กล้อและยางรถยนต์

ยางรถยนต์ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่สำคัญเป็นอย่างมากในการขับเคลื่อน ยิ่งเป็นการเดินทางไกล ขับในทางยาวๆ ยิ่งต้องตรวจเช็กยางให้มีความพร้อม ลมยางก็ต้องตรวจเช็ก ใส่เติมลมให้พอเหมาะกับการใช้งานซึ่งการเช็กยางรถยนต์ก็ไม่ใช่เรื่องยาก สามารถทำเองได้ เพื่อความปลอดภัยก่อนการเดินทางไกล

 

การตรวจสอบลงยาง การเช็กลมยางให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ให้เหมาะสมกับการใช้งานของคุณ และหมั่นตรวจเช็กอยู่สม่ำเสมอ จะช่วยให้การเดินทางของคุณปลอดภัย ไร้กังวลว่ายางของคุณจะแบนรึเปล่า หรือหากไม่ได้มีการเดินทางไกลก็ควรเช็กลมยางทุกๆเดือนว่าลมยางอยู่ในระดับที่เหมาะสม จะช่วยให้ยางของคุณมีอายุการใช้ที่ยาวนานอีกด้วย และต้องไม่ลืมที่จะตรวจเช็กยางอะไหล่ด้วยเพราะหากต้องใช้งานยางอะไหล่กะทันหัน ก็สามารถนำมาเปลี่ยนใส่ได้ทันทีในยามฉุกเฉิน

 

การตรวจเช็กสภาพยาง โดยปกติควรตรวจเช็กสภาพดอกยางทุก 6 เดือน หรือทุก 10,000 กิโลเมตร แต่ถ้าหากต้องมีการเดินทางไกลเราก็ต้องตรวจเช็กสภาพยางก่อนออกเดินทางทุกครั้ง เพื่อตรวจดูว่าดอกยางเสื่อมไหม ดอกยางรถยนต์ยังเท่ากันหรือไม่ สำหรับการตรวจเช็กดอกยาง ควรสังเกตว่ายางรถยนต์ของเรามีดอกยางสึกหรอผิดปกติ หรือเหลือต่ำสุดที่ 1.6 มิลลิเมตร ดูได้จากบริเวณสะพานยางหรือบริเวณที่มีลักษณะเป็นสันนูนที่ร่องยาง หากเช็กดอกยางแล้วพบว่ายางสึกจนสามารถมองสะพานได้แล้ว หรือยางรถยนต์มีรอยแตกร้าว แปลว่ายางเส้นนั้นหมดอายุการใช้งานแล้วและเป็นถึงเวลาที่คุณต้องเปลี่ยนยางรถยนต์เส้นใหม่แล้ว

3. เช็กใบปัดน้ำฝน/ระบบไฟส่องสว่าง

ใบปัดน้ำฝน และระบบไฟส่องสว่าง ถือเป็นอุปกรณ์ที่มีความจำเป็นที่รถยนต์ทุกคันต้องมี ใบปัดน้ำฝนซึ่งทำหน้าที่ปัดน้ำ, ปัดเศษใบไม้, แมลง, เศษดินโคลน ให้หลุดออกพร้อมทำความสะอาด โดยเฉพาะในฤดูฝนที่ใบปัดน้ำฝนต้องทำหน้าที่อย่างหนักเพื่อทัศนวิสัยการขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น ในส่วนของระบบไฟส่องสว่าง ยิ่งต้องมีการเดินทางไกล ไฟทุกจุดบนรถต้องพร้อมสำหรับการใช้งานไม่ว่าจะเป็นไฟเลี้ยว ไฟหน้า-หลัง ดังนั้น เราจึงควรหมั่นดูแลให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา

 

การตรวจเช็กใบปัดน้ำฝน ให้ทำการตรวจสภาพหน้ายาง คือหนึ่งในการเช็กสภาพยางปัดน้ำฝนแบบง่ายๆ ด้วยการสัมผัสคือ การทดลองจับยางปัดน้ำฝนดูว่าตัวยางนั้นมีความแข็งและเป็นขุยหรือไม่ หากแข็งหรือเป็นขุยเราขอแนะนำให้เปลี่ยนยางปัดน้ำฝนทันที เพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัย แล้วให้สังเกตรอยบนกระจก หรือทดสอบการทำงานของยางปัดน้ำฝนว่ามีเสียงฝืดหรือเปล่า ถ้าหากปัดแล้วเกิดรอยหรือมีเสียงฝืดเราขอแนะนำว่าให้เปลี่ยนยางด้วยเช่นกัน เพราะหากปล่อยทิ้งไว้นานๆ ยิ่งปัดให้เกิดการเสียดสีบ่อยๆ ตัวยางอาจเสื่อมสภาพมากขึ้นจนตัวก้านเหล็กขูดกระจก ทำให้เกิดรอยขีดข่วนบนกระจกรถ และอาจจะส่งผลให้การทำงานของใบปัดน้ำฝนติดขัดได้

 

กาตรวจเช็กระบบไฟส่องสว่าง ควรตรวจเช็กไฟทุกดวงที่ติดมากับรถ สิ่งที่ควรทำเริ่มแรกคือเปิดไฟหน้า จากนั้นลองเปลื่ยนเป็นไฟสูงสลับกัน จากนั้นเช็กไฟเลี้ยวทุกดวง ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง จากนั้นไล่ไปตั้งแต่ไฟเบรก และไฟถอยหลัง หากมีอาการผิดปกติให้นำไปซ่อมทันที เพราะเป็นส่วนสำคัญในการใช้รถ

4. เช็กระบบเบรก/น้ำมันเบรก

ระบบเบรก ก็เป็นอีกหนึ่งส่วนที่สำคัญมากๆในการใช้รถ เพราะหากระบบเบรกมีปัญหาอาจไม่ใช่แค่เราที่จะเกิดอุบัติเหตแต่อาจทำให้คนอื่นที่ใช้ถนนร่วนกันเสี่ยงไปด้วย เพราะฉะนั้นการตรวจระบบเบรกจึงเป็นขั้นตอนสำคัญ และจำเป็นต้องเช็กก่อนออกเดินทางไกล

 

โดยเริ่มจากการสังเกตเรื่องของเสียง เสียงที่ว่าคือเสียงผ้าเบรคสีกับจานเบรค จริงๆ ไม่ต้องสังเกตอะไรมากเลย เพราะเสียงนี้จะดังขึ้นมาจนคุณรู้สึกตัวได้ทันทีว่ามีอะไรผิดปกติ เวลาที่เหยียบเบรคครั้งใดหากมีเสียง เอี๊ยดๆๆ เกิดขึ้นให้เดาได้เลยว่าผ้าเบรกเริ่มหมด ให้ทำการนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจเช็กผ้าเบรคหรือแจ้งเปลี่ยนผ้าเบรกได้เลย

 

อีกวิธีที่สามารถจะใช้ตรวจสอบระบบเบรคเบื้องต้นได้คือ การตรวจสอบระดับน้ำมันเบรคที่กระปุกน้ำมันเบรคซึ่งอยู่ในห้องเครื่องยนต์ การตรวจสอบระดับน้ำมันเบรคอาจจะทำพร้อมๆ กับเวลาที่คุณเปิดฝากระโปรงหน้าขึ้นมาเพื่อเช็กน้ำกลั่นแบตเตอรี่ หรือระดับของน้ำมันเครื่อง ตรวจสอบระดับน้ำมันเบรค ถ้าน้ำมันเบรคอยู่ที่ระดับ MAX หรือต่ำกว่านิดหน่อยก็ถือว่าปกติ แต่ถ้าน้ำมันเบรคพร่องมากๆ จนลดลงไปพอสมควร เป็นไปได้ว่าผ้าเบรคเริ่มบางมากแล้ว ยิ่งถ้าน้ำมันเบรคลดลงประมาณครึ่งหนึ่งหรือต่ำมากจนใกล้จะอยู่ในระดับ MIN ควรรีบนำรถเข้าตรวจเช็กระบบเบรคกับศูนย์บริการหรืออู่ที่ใช้บริการอยู่ และควรตรวจเช็กระบบเบรค ไม่ให้รั่วซึม การสังเกตุด้วยการดูยังมีอีกลักษณะหนึ่งคือ เดินดูรอบๆ รถ ดูที่ล้อแต่ละข้าง มองเข้าไปในล้อหรือแมกซ์ มองไปแถวๆ เบรคว่ามีคราบน้ำมันเบรคซึมออกมาบ้างหรือไม่ ถ้าไปดูที่กระปุกน้ำมันเบรคแล้วพบว่าน้ำมันเบรคพร่องลงไปเยอะ บางทีผ้าเบรคอาจจะไม่ได้หมด (ฟังเสียงร่วมด้วย) แต่อาจเป็นเพราะมีการรั่วซึมของระบบเบรคเกิดขึ้น

5-engine-oil

5. เช็กของเหลว (น้ำมันเครื่อง, น้ำมันเกียร์อัตโนมัติ, น้ำมันคลัตช์, น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์, ระบบหล่อเย็น, ท่อยาง)

ของเหลวในรถมีมากมายหลายอย่าง แต่สิ่งที่ควรรู้และควรเช็กก่อนการใช้งานรถในการเดินทางไกลนั้นก็มีไม่กี่อย่าง และเราสามารถเช็กได้ด้วยตัวเอง 

 

น้ำมันเครื่อง วิธีเช็กให้ดึงก้านวัดออกมาเช็ดให้สะอาดแล้วเสียบกลับลงไป จากนั้นให้ดึงขึ้นมาอีกครั้ง ที่ปลายก้านวัดจะมีขีดแสดงระดับน้ำมัน ถ้าน้ำมันเครื่องติดอยู่ตรงระหว่างขีด Min และ Max ก็แปลว่ายังอยู่ในระดับปกติ 

 

น้ำมันเกียร์ วิธีเช็กระดับน้ำมันเกียร์ ให้ดึงก้านวัดออกมาเช็ดให้สะอาดก่อน แล้วเสียบกลับลงไป จากนั้นให้ดึงขึ้นมาอีกครั้ง ที่ปลายก้านวัดจะมีขีดแสดงระดับน้ำมันบอกอยู่ ถ้าหากวัดตอนเครื่องเย็นให้ดูที่ Cold ส่วนวัดตอนเครื่องร้อนให้ดูที่ Hot

 

น้ำมันคลัตช์ สำหรับรถเกียร์ธรรมดาทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนน้ำมันคลัทช์ (ใช้น้ำมันเบรคชนิดเดียวกัน) ควรเปลี่ยนพร้อมน้ำมันเบรค การเปลี่ยนน้ำมันคลัทช์ทุกปีช่วยยืดอายุชิ้นส่วนเหล่านี้ได้มากควรเปลี่ยนถ่ายทุก 1-1 ปีครึ่ง

 

น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ โดยปกติกระปุกจะมี 2 แบบ คือ แบบทึบและแบบใส ถ้าเป็นแบบทึบจะมีก้านวัดอยู่ที่ฝาด้านใน แต่ถ้าเป็นแบบใสจะมีขีดอยู่ที่ข้างกระปุก วิธีเช็กง่าย ๆ คือ ดูว่าอยู่ในช่วงกลางระหว่าง Min – Max ในช่อง Hot

 

น้ำฉีดกระจก ซึ่งจะเป็นกระบอกสีขาวขุ่นอยู่ด้านซ้ายหรือขวา บางทีอาจจะเป็นแค่ท่อสีขาวขุ่นยื่นออกมาก็ได้ โดยที่ข้างกระบอกจะมีขีดแสดงระดับน้ำอยู่ ด้านในจะมีแท่งวัดระดับน้ำอยู่ สามารถสังเกตระดับน้ำที่เหลือจากแท่งวัดระดับ เราสามารถเติมน้ำประปาได้เลย

 

น้ำหม้อน้ำ ปกติแล้วน้ำในหม้อน้ำจะไม่หมดเองถ้าไม่มีรูรั่วหรือระบบระบายความร้อนผิดปกติ ซึ่งแผงหน้าหม้อน้ำจะขนานอยู่กับแนวกันชน มีฝาเปิดเห็นเด่นชัด แต่ห้ามเปิดขณะที่เครื่องยนต์ยังร้อนอยู่ หรือจะตรวจระดับน้ำจากหม้อพักก็ได้ ให้ไล่ตามสายที่พ่วงต่อจากบริเวณคอของหม้อน้ำไป จะเจอหม้อพักเป็นลักษณะเป็นสีขาวขุ่น ที่หม้อพักจะมีขีดแสดงระดับน้ำอยู่ แนะนำให้เติมน้ำยาหล่อเย็นเท่านั้น เพื่อช่วยรักษาระบบระบายความร้อนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

และทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงคำแนะนำเบื้องต้นในการตรวจสภาพรถยนต์ของท่านก่อนการเดินทางไกล รถก็เหมือนคนต้องการการดูแลใส่ใจ หากพบอะไรผิดปกติ อย่ารีรอที่จะแก้ไข เพื่อความปลอดภัยต่อตัวเราเองและเพื่อนร่วมทางทุกๆคน โดยนอกจากการเตรียมรถให้มีสภาพพร้อมก่อนเดินทางแล้ว ควรเข้าใจวิธีขับขี่อย่างปลอดภัยเพื่อช่วยกันลดอุบัติเหตุให้มากที่สุด